Wi-Fi 6 คืออะไรและแตกต่างกันอย่างไรกับ Wi-Fi 5 Personet Shop มาแชร์ความรู้ให้คุณค่ะ

**Wi-Fi 6 คืออะไร

Wi-Fi 6 คือ คือมาตรฐานใหม่ของ Wi-Fi ที่ได้รับการพัฒนาโดย Wi-Fi Alliance เพื่อรองรับการใช้งานเครือข่ายไร้สายในยุคต่อไป Wi-Fi 6 มีความเร็วสูงกว่า Wi-Fi 5 ถึง 4 เท่า และรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากขึ้นถึง 4 เท่า นอกจากนี้ Wi-Fi 6 ยังมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานเครือข่ายไร้สายหนาแน่น เช่น ในสำนักงานหรือห้างสรรพสินค้า

**Wi-Fi 5 คืออะไร?**

Wi-Fi 5 หรือที่รู้จักในชื่อ 802. 11ac เป็นมาตรฐานเครือข่ายไร้สายที่ได้รับการพัฒนาโดยสถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (IEEE) Wi-Fi 5ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในปี 2014 เป็นเป็นแบบมาตรฐาน Wi-Fi ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบัน

Wi-Fi 5 นำเสนอความเร็วที่เร็วกว่าและความจุที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับมาตรฐาน Wi-Fi ก่อนหน้า เช่น Wi-Fi 5 (802.11n) Wi-Fi 5 สามารถรองรับความเร็วสูงสุด 3.5 Gbps และสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากถึง 1,024 เครื่องต่อจุดเชื่อมต่อ

Wi-Fi 5 ใช้เทคโนโลยี MIMO (Multiple-Input Multiple-Output) ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วและความจุของเครือข่ายโดยใช้เสาอากาศหลายตัว นอกจากนี้ Wi-Fi 5 ยังรองรับการใช้งานช่องสัญญาณที่กว้างขึ้น (80 MHz และ 160 MHz) ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วและความจุของเครือข่ายได้อีก

Wi-Fi 5 เป็นมาตรฐานเครือข่ายไร้สายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากจากรองรับความเร็วที่เร็วและความจุที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับมาตรฐาน Wi-Fi ก่อนหน้า นอกจากนี้ Wi-Fi 5 ยังรองรับการใช้งานอุปกรณ์จำนวนมากต่อจุดเชื่อมต่อ จึงเหมาะสำหรับการใช้งาในสำนักงานโรงเรียน และสถานที่สาธารณะต่างๆ

**ข้อดีของ Wi-Fi 5 **

*ความเร็วที่เร็วกว่าแบบเก่า : Wi-Fi 5 สามารถรองรับความเร็วสูงสุด 3.5 Gbps ซึ่งเร็วกว่า Wi-Fi 4

ถึง 3 เท่า

*ความจุที่มากขึ้น : Wi-Fi 5 : สามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากถึง 1,024 เครื่องต่อจุดเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่า Wi-Fi 4 ถึง 4 เท่า

*การใช้พลังงานที่น้อยลง : Wi-Fi 5 ใช้พลังงานน้อยกว่า Wi-Fi 4 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของอุปกรณ์

*ความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น: Wi-Fi 5 รองรับมาตรฐานการเข้ารหัส  WPA2 ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่ปลอดภัยที่สุด

**ข้อเสียของ Wi-Fi 5**

*รองรับเฉพาะย่านความถี่ 5 GHz: Wi-Fi 5 รองรับเฉพาะย่านความถี่ 5 GHz ซึ่งอาจไม่สามารถใช้งานได้ในบางพื้นที่

*อุปกรณ์ที่รองรับยังมีจำกัด: อุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 5 ยังมีจำกัดอยู่ แต่คาดว่าจะมีอุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 5 มากขึ้นในอนาคต

**Wi-Fi 6 เร็วกว่า Wi-Fi 5 อย่างไร

Wi-Fi 6 ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า OFDMA (Orthogonal Frequency Division Multiple Access) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายไร้สายโดยการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นหลายๆ ส่วนย่อย และ ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ Wi-Fi 6 ยังรองรับเทคโนโลยี MU-MIMO (Multi-User Multiple-Input Multiple-Output) ซึ่งช่วยให้เราเตอร์สามารถส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกัน

ข้อดีของ Wi-Fi 6

1.      ความเร็วที่สูงขึ้น

Wi-Fi 6 รองรับความเร็วสูงสุดถึง 9.6 Gbps ซึ่งเร็วกว่า Wi-Fi 5 ถึง 4 เท่า ทำให้สามารถรองรับการใช้งานเครือข่ายไร้สายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การเล่นเกมส์ออนไลน์ และการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่

2.      รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อได้มากขึ้น

Wi-Fi 6 รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากขึ้นถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 ทำให้สามารถรองรับการใช้งานเครือข่ายไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานในสถานที่ที่มีผู้ใช้อุปกรณ์จำนวนมาก เช่น สำนักงาน โรงเรียน และห้างสรรพสินค้า

3.     การจัดการช่องสัญญาณที่ดีขึ้น

Wi-Fi 6 มีการจัดการช่องสัญญาณที่ดีขึ้น ทำให้สามารถรองรับการใช้งานเครือข่ายไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย Wi-Fi 6 จะทำการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ และทำการจัดสรรช่องสัญญาณให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถลดปัญหา การรบกวนของสัญญาณและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล

4.     ความหน่วงต่ำ

Wi-Fi 6 มีความหน่วงต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น การประชุมทางวิดีโอ ความหน่วงต่ำจะช่วยให้การรับส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น

5.     การรักษาความปลอดภัย

Wi-Fi 6 รองรับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย WPA3 ซึ่งเป็นมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยล่าสุดที่ช่วยปกป้องเครือข่ายไร้สายจากการโจมตีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6.     การประหยัดพลังงาน

Wi-Fi 6 รองรับเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน Target Wake Time (TWT) ซึ่งช่วยให้เราสามารถกำหนดเวลาให้เราเตอร์ปลุกอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อรับส่งข้อมูล ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

7.     การใช้งานในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง

Wi-Fi 6 รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Wi-Fi 6 จะทำการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ และทำการจัดสรรช่องสัญญาณให้กับอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถลดปัญหาการรบกวนของสัญญาณและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล

8.   การใช้งานสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวนสูง

Wi-Fi 6 รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวนสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Wi-Fi 6 จะทำการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ และทำการจัดสรรช่องสัญญาณให้กับอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถลดปัญหาการรบกวนของสัญญาณและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล

9.     การใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่

Wi-Fi 6 รองรับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Wi-Fi 6 จะทำการแบ่งช่องสัญญาณย่อยๆ และทำการจัดสรรช่องสัญญาณให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถลดปัญหาการรบกวนของสัญญาณและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล

10.การใช้งานในพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวสูง

Wi-Fi 6 รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Wi-Fi 6 จะทำการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ และทำการจัดสรรช่องสัญญาณให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถลดปัญหาการรบกวนของสัญญาณและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล

11.อนาคต Wi-Fi 6

Wi-Fi 6 เป็นอนาคตของ Wi-Fi พัฒนาด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ความจุที่มากขึ้นความหน่วงที่ต่ำลง และการใช้พลังงานที่น้อยลง Wi-Fi 6 จะช่วยให้เราสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นยิ่งขึ้นในอนาคต

***Wi-Fi 6 ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าระบบอะไรบ้าง

Wi-Fi 6 เป็นมาตรฐาน Wi-Fi รุ่นล่าสุดที่ให้ความเร็วและประสิทธิภาพที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก โดยรองรับความเร็วสูงสุดถึง 9.6 Gbps และสามารถรองรับอุปกรณ์ได้มากขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 นอกจากนี้ Wi-Fi 6 ยังมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ

ด้วยความเร็วและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น Wi-Fi 6 จึงเหมาะสำหรับการใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าระบบต่างๆ ดังนี้

**กล้องวงจรปิด** Wi-Fi 6 จะช่วยให้กล้องวงจรปิดของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้เร็วขึ้นและเสถียรยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการรักษาความปลอดภัยในบ้านแล้วพื้นที่สำคัญของท่าน

**สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต** Wi-Fi 6จะช่วยให้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้เร็วขึ้นและเถียรยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับ เล่นเกมส์ สตรีมวิดีโอ และดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่

**แล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์** Wi-Fi 6 จะช่วยให้แล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์ของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้เร็วขึ้นแล้วเสถียรยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการทำงานออนไลน์ ประชุมทางวีดีโอ และเล่นเกมส์

**สมาร์ททีวี** Wi-Fi 6จะช่วยให้สมาร์ททีวีของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูงและเล่นเกมส์

**เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ** Wi-Fi 6 จะช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้เร็วขึ้นและเสถียรยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าจากระยะไกล

**Wi-Fi 6 รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากขึ้นอย่างไร?

Wi-Fi 6 รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากขึ้นถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5 เนื่องจาก Wi-Fi 6 ใช้เทคโนโลยี OFDMA ซึ่งช่วยให้เราเตอร์สามารถแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นหลายๆ ส่วนย่อย และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ ต่างๆในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ Wi-Fi 6 ยังรองรับเทคโนโลยี MU-MIMO ซึ่งช่วยให้เราเตอร์สามารถส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้

**Wi-Fi 6 มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานเครือข่ายไร้สายหนาแน่นอย่างไร?

Wi-Fi 6 มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้เครือข่ายไร้สายหนาแน่น เนื่องจาก Wi-Fi 6 ใช้เทคโนโลยี OFDMA ซึ่งช่วยลดการรบกวนจากอุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่าย นอกจากนี้ Wi-Fi 6 ยังรองรับเทคโนโลยี MU-MIMO ซึ่งช่วยให้เราเตอร์สามารถส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หลายๆเครื่องพร้อมกันได้

หากคุณกำลังมองหาเราเตอร์ Wi-Fi 6 เพื่อใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าระบบต่างๆขอแนะนำให้เลือกเราเตอร์ที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้

*รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6

*มีความเร็วสูงสุดอย่างน้อย 1 Gbps

*รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้อย่างน้อย 30 เครื่อง

*มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ดี

โดยสรุปแล้ว Wi-Fi 6 เป็นมาตรฐาน  Wi-Fi ที่ใหม่กว่าและดีกว่า Wi-Fi 5 โดยข้อดีเหนือกว่าในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว ความจุ ความหน่วงการใช้พลังงาน และความปลอดภัย หากคุณกำลังมองหาเครือข่าย Wi-Fi ที่เร็ว แรง และปลอดภัยที่สุด Wi-Fi 6 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ทาง Personet Shop มีสินค้าแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดพร้อมติดตั้งให้แก่ผู้ใช้งานเบ็ดเสร็จ